บริษัท เอ็ม วิชั่น จำกัด (มหาชน) ร่วมมือกับ WAVE ผลักดันการจัดงานในไทยสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral Event) ทั้งในรูปแบบงานแสดงสินค้า งานเอ็กซ์โปและคอนเสิร์ต เริ่มต้นงานแรกกับงาน Thailand Mobile Expo 2023 ระหว่างวันที่ 16-19 ก.พ.นี้ ณ ศูนย์ประชุมสิริกิติ์
นายโอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มวิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP กล่าวว่า การจัดงาน Mobile Expo 2023 ดำเนินการโดย MVP ระหว่างวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์ 2566 ซึ่งเป็นงาน Expo แรกในไทยที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน ( Carbon Neutral ) และ Wave BCG ให้การสนับสนุนการคำนวณ การประเมินการปล่อยคาร์บอน รวมทั้งจัดหาคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ Wave BCG พร้อมสนับสนุนกลุ่มอุตสาหกรรม MICE ที่มีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น ทำให้มีการปล่อยคาร์บอนจากการจัดกิจกรรมต่างๆ เช่น การประชุม งานแสดงสินค้า หรืองานเทศกาล ที่ส่งผลกระทบต่อโลก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ไม่ควรมองข้าม
นายเจมส์ แอนดริว มอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวฟ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ WAVE เปิดเผยว่า บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท ได้ลงนามความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท เอ็มวิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อให้การจัดงานหรือ Event ในประเทศ ให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutral)
บริษัท เวฟ บีซีจี จำกัด เป็นผู้ให้บริการด้านคาร์บอนเครดิตครบวงจร ให้คำปรึกษาทั้งในส่วนของผู้ซื้อและผู้ขาย เป็นผู้พัฒนาโครงการและจัดหาคาร์บอน เครดิต ทั้งจากพลังงานสะอาดและพลังงานอื่นๆ ในการมีส่วนร่วมแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน จึงเกิดความร่วมมือกันเพื่อความแข็ง แกร่งหรือจุดแข็งทางธุรกิจ
ส่วนบริษัท เอ็มวิชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MVP เป็นผู้นำและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจการจัดงานอีเว้นท์ ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมดิจิทัล พร้อมด้วยประสบการณ์การจัดงานระดับมืออาชีพ เช่น Thailand Mobile Expo และ Thailand Crypto Expo 2022 เป็นต้น
“ความร่วมมือในครั้งนี้ มีความมุ่งมั่นด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน Wave BCG จึงได้ร่วมลงนาม MOU เพื่อจัดงานต่างๆ ในอนาคตที่จะเกิดขึ้น ทั้งกลุ่มงานแสดงสินค้าต่างๆ งาน Expo แม้กระทั่งงานคอนเสิร์ต ที่จะช่วยให้คำแนะนำการจัดงานให้มีความเป็นกลางทางคาร์บอน รวมถึงการจัดหาคาร์บอนเครดิต สำหรับการ Offset เพื่อให้ผู้จัดงานบรรลุเป้าหมายของการเป็น Carbon Neutral Event เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร และเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนประเทศไทย ในการลดก๊าซเรือนกระจกได้มากขึ้น” นายเจมส์ กล่าว
ปัจจุบัน เรามีคาร์บอนเครดิตในพอร์ต 2 ล้านตัน โดยตั้งเป้าจะติดท็อป 3 ของไทย ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทจดทะเบียนในกลุ่ม SET50ติดต่อขอซื้อเข้ามาจำนวนมาก จึงคาดว่าในปีนี้คาร์บอนเครดิตที่มีในพอร์ตน่าจะไม่พอขาย ซึ่งคาดว่าเวฟ บีซีจี จะมีรายได้จากการขายคาร์บอนเครดิตราว 200 ล้านบาท
ทำให้ เวฟ เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ตั้งเป้ารายได้ในปีนี้ราว 800 กว่าล้านบาท มาจากรายได้จากธุรกิจโรงเรียนสอนภาษาวอลล์สตรีท 550 ล้านบาท จากธุรกิจด้านสุขภาพและกัญชาเพื่อประโยชน์ทางการแพทย์ ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท WAVE Wellbing 150 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจคาร์บอนเครดิต 200 ล้านบาท ทำให้คาดว่าในปีนี้จะพลิกกลับมาเทิร์นอะราว มีกำไรได้
สำหรับความร่วมมือดังกล่าว จะอยู่ภายใต้หลักการคำนวณและประเมินอ้างอิงตามหลัก การขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.และตรวจสอบโดยอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากวิทยาลัยพลังงานและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน รัตนโกสินทร์ หน่วยงานในกำกับของ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ (มทร.) ซึ่งมีการจัดทำยุทธศาสตร์มหาวิทยาลัยคาร์บอนนิวทรัล หรือความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2030 และมีเป้าหมายหลักในการผลิตบัณฑิตด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม ให้มีองค์ความรู้ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการลดก๊าซเรือนกระจก พร้อมทั้งสร้างความร่วมมือกับภาคเอกชนเพื่อผลิตบุคลากรที่มีองค์ความรู้ สร้างนวัตกรรมและงานวิจัยที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจกอย่างยั่งยืน
นอกจากนี้ Wave BCG ร่วมมือ MVP และ Giant Causeway Pte.Ltd เพื่อพัฒนานวัตกรรม Climate Tech Project (CTP) ที่เรียกว่า ‘Carbon Mapping Platform’ โดยใช้เทคโนโลยีของ Web 3.0 เพื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างความโปร่งใส่ ตรวจสอบได้ และอำนวยความสะดวกให้กับผู้ตรวจ เพื่อตรวจสอบพื้นที่ในการปลูกป่าและการเกษตร โดยเทคโนโลยีสามารถตรวจสอบและติดตามพื้นที่ป่าไม้และการเกษตรย้อนหลัง 5 ปี ประเมินสภาพในปัจจุบัน และประมาณการพื้นที่ในอนาคต
ในอดีตปัญหาของผู้พัฒนาโครงการหรือบริษัทที่ปลูกป่าไม้เพื่อชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกคือ การติดตามผลในปัจจุบันรวมถึงการคาดการณ์ผลทางคาร์บอนเครดิตในอนาคต พร้อมทั้งการที่บริษัทถูกมองว่าปลูกป่าเพื่อสร้างภาพทาง PR ดังนั้น การพัฒนานวัตกรรมในการใช้ภาพจากดาวเทียมควบคู่กับเทคโนโลยี blockchain ของ Web 3.0 จะช่วยตอบโจทย์ เรื่องการคำนวณ การคาดการณ์ในอนาคต ที่มีความแม่นยำ สามารถตรวจสอบได้ และเพิ่มความมั่นใจให้กับผู้พัฒนาโครงการและนักลงทุนมากยิ่งขึ้น